เทศน์พระ

แค่คิด

๑๘ เม.ย. ๒๕๕๔

 

แค่คิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เราอยู่ท่ามกลางโลก เราจะให้ได้ดั่งใจเราไม่มี โลกเขาเป็นประสาโลก เราเป็นธรรม ถ้าเราเป็นธรรม เราต้องตั้งใจของเราได้ เราต้องทำของเราได้ ดูสิ เราทำคุณงามความดีกัน โลกเขาจะเห็นความดีกับเราไหมล่ะ ไม่เห็นหรอก แต่ถ้าโลกกับโลกเขาเห็นดีต่อกัน เพราะเป็นกระแสไง ถ้ากระแสเป็นไปมันเข้ากันได้

ความเข้ากันได้นั้นเข้ากันเรื่องของโลก แต่เราเข้ากันด้วยเรื่องของธรรมเห็นไหม มันฝืนโลก ถ้ามันฝืนโลกเราไม่ต้องไปแยแส โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันเรื่องของเขา

ถ้าเรื่องของเราล่ะเห็นไหม เราต้องดูใจเรา ใจเราจริงหรือเปล่า เวลาเราโดนอุปสรรคเข้าไป โลกธรรม ๘ กระทบแล้วเราจะหวั่นไหวไหม ถ้าเราหวั่นไหวมันก็แค่เปลือก แค่โลก

ถ้าแค่ธรรมนะ เราต้องจริงจังของเรา ถ้าเราไม่จริงจังของเรา เราจะยืนของเราไม่ได้ ถ้าเรายืนอยู่กับความจริงได้เห็นไหม เราฟังธรรมเพื่อเตือนสติเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งกว่านี้ เวลาเผยแผ่ธรรมไป ในโลกเขาเขามีของเขาอยู่แล้ว เขาต่อต้านทั้งนั้น เขาต่อต้านด้วยความเห็นของเขา ก็เพราะความเห็นของเขาหยาบใช่ไหม สิ่งที่หยาบก็พิสูจน์ได้ สิ่งที่ละเอียดเขาพิสูจน์ไม่ได้ เขาพิสูจน์ไม่ได้แล้วเขาจะเอาอะไรพิสูจน์ เพราะเขาเห็นของเขาไม่ได้

ถ้าเห็นไม่ได้เราจะเป็นใหญ่ไหม เราเอาความเห็นของโลกเป็นใหญ่ เราจะปฏิบัติธรรมไปได้อย่างไร เราจะปฏิบัติธรรมได้เราก็เกิดจากโลกนี่แหละ เราเกิดจากโลก เราอยู่กับโลก เราทิ้งโลกมา เราอยู่กับโลก เราทิ้งโลกมาเห็นไหม

ดูสิ หยดน้ำบนใบบัว มันอยู่บนใบบัวแต่มันไม่ติดใบบัว มันไม่ติดเพราะอะไร มันไม่ติดเพราะว่ามันอยู่บนใบ ถ้ามันอยู่บนใบไม้อื่นล่ะ อยู่บนดิน อยู่บนอากาศ มันก็ระเหยไปหมด มันอยู่ของมันไม่ได้ มันอยู่ของมันไม่ได้

ถ้าเรารักษาน้ำใจของเราเห็นไหม เราต้องกลับมา ไม่ต้องไปน้อยใจกับเขา เราอาศัยเขาอยู่ อาศัยโลกอยู่ แต่เราจะอยู่เพื่อจะทิ้งโลกไง แต่ถ้าเราอาศัยโลกอยู่แล้วเพื่อจะกอดกับโลกแล้วอยู่กับโลกไปนะ เราเองเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะอะไร เราเห็นโทษของมันมาแล้ว มันเหมือนกับเราไม่จริงกับเราเอง

เราเห็นโทษของโลก เราถึงได้มาบวชกัน เพราะเราเห็นภัยของวัฏสงสาร การเวียนตายเวียนเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วเราก็เกิดตายอยู่อย่างนี้ แล้วเราเสียสละออกมาเพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา

เราอยู่ในโลก ดอกบัวเกิดจากโคลนตม เราอยู่ในโลกแต่เราเห็นภัยของมัน เราถึงออกมาประพฤติปฏิบัติ เราออกมาบวชนะ แล้วเราจะบวชหัวใจของเรา ถ้าบวชหัวใจของเรา เราต้องเห็นโทษของมันไง

ถ้าเห็นโทษของมันเราก็อยู่กับเขา เราแยกจากเขาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเช้าเราก็บิณฑบาต ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยโลกอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ เวลาคฤหัสถ์เขาให้ตักบาตร ให้ทำบุญกุศลของเขา นั่นก็เป็นประโยชน์ของเขา

ประโยชน์ของเราคือประโยชน์กับการดำรงชีวิตไง เพราะเราเกิดกับโลกใช่ไหม เรามีชีวิตใช่ไหม เราต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม เราก็อาศัยตรงนั้น ประโยชน์ของเขาได้แค่นั้น

ประโยชน์ของเราล่ะ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติของเราเข้ามาเห็นไหม เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสาร การเกิดและการตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่นี่เพราะมันเกิดด้วยอำนาจวาสนาขึ้นมา มันถึงได้มีเชาว์ปัญญา มีความรู้ความเห็นที่จะหาทางออกจากโลกเขาได้

แล้วทางออกมันอยู่ที่ไหนล่ะ ทางออกมันต้องตั้งสติ พอตั้งสติของเรา เครื่องอาศัยของโลกที่เขาเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเขา นั่นเป็นความเห็นของเขา แต่ความเห็นของเราเห็นไหม เราจะเห็นว่าปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่ไหน โลกมันเกิดอย่างไร ที่ว่าเราเกิดจากโลก เราอยู่ที่ไหน ทำไมมันเกิด เกิดจากโลกมันเกิดอย่างไร เกิดจากโลก เกิดจากกรรม แล้วกรรมมันอยู่กันที่ไหนล่ะ

กรรมมันอยู่ที่จิต แล้วจิตปฏิสนธิมันอยู่ที่ในไข่ ในครรภ์ มันเกิดเป็นเราแล้วโลกมันบังไว้ เพราะโลกมันบังไว้เราจะพิจารณาอย่างไรให้เห็นสิ่งที่มันบังเราไว้ล่ะ สิ่งที่บังไว้มันต้องตั้งสติเข้ามา มีคำบริกรรมเข้ามา ความคิดโดยธรรมชาติของมันมันส่งออกหมดเห็นไหม ความคิดโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็เอาผลของวัฏฏะนี้ทำลายมัน ถ้าเอาผลของวัฏฏะทำลายมันเห็นไหม เวลาคิดออกมาด้วยความฟุ้งซ่าน คิดมาด้วยความทุกข์ความยาก

แต่ถ้าคิดด้วยธรรมล่ะ ถ้าคิดด้วยธรรมคิดอย่างไร เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขารโดยธรรมชาติของมันเห็นไหม ดูสิ เวลาน้ำมันดิบเขานำมากลั่น จากน้ำมันดิบเขานำมากลั่นเป็นน้ำมันอะไรล่ะ ก็อยู่ที่คุณภาพของมัน คุณภาพน้ำมันดิบมันจะกลั่นเป็นน้ำมันดีเซลก็ได้ กลั่นเป็นน้ำมันเบนซินก็ได้ กลั่นเป็นน้ำมัน เป็นสิ่งต่างๆ ก็อยู่ที่คุณภาพของน้ำมันที่ควรจะกลั่นเป็นน้ำมันอะไร

จิตของเราก็เหมือนกัน จิตของเราในผลของวัฏสงสารเป็นจริตนิสัย มันหยาบ มันละเอียด ต่างกันอย่างไร ถ้าจิตมันละเอียดเห็นไหม มันกำหนด มันตั้งสติ มันใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือใช้คำบริกรรม มันจะกลั่นเห็นไหม คำบริกรรมของมันจะกลั่นให้จิตมันสงบเข้ามาได้ ถ้าจิตสงบเข้ามาได้ เวลาจิตสงบกับจิตฟุ้งซ่านมันแตกต่างกันอย่างไร

เทวทัตเวลาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำฌานโลกีย์ได้ แต่ด้วยจิตด้วยความคิดไง แค่คิดไง คิดว่าจะปกครองสงฆ์ คิดว่าจะยึดครองอำนาจจากสงฆ์ เท่านั้นเสื่อมหมดนะ แค่คิดนะ! ความคิดนะ

แต่นี่มันเป็นการกระทำใช่ไหม ร่างกายกระทำมา ความคิด วาจา มันพูดออกมา ความฟุ้งซ่านมันคืออะไร ความคิดมันคิดด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมันมีสติปัญญาเห็นไหม

เวลาคิดรู้ว่าคิดไหม เวลาคิดเราคิด เราทำ เรามีอารมณ์ร่วมกับความรู้สึกอันนั้น มันก็เกิดวจีกรรมคือการพูดออกไป มีการกระทำออกไปเห็นไหม แค่คิดนะ เทวทัตแค่คิดเสื่อมหมดเลย!

แต่ของเรา เวลาเราตั้งจิตของเรา เราจะทำของเราขึ้นมา มันไม่ใช่แค่คิด มันคิดไปแล้วไง แค่คิดมันยังผิดเลย มโนกรรมมันเกิดแล้ว มันมีความละอายแล้วเห็นไหม แค่คิดขึ้นมามันก็คิดผิดแล้ว คิดผิด คิดชั่ว คิดไม่ดี

แต่คิดถูกล่ะ คิดดีล่ะ ถ้าคิดดีคิดดีอย่างไร ถ้าคิดดีเห็นไหม เวลามันคิดไม่ได้ มันคิดดีเราคิดไม่ได้ พอมันคิดไม่ได้ เราก็เกิดมาในพุทธศาสนา มีครูมีอาจารย์ของเรา มีองค์ศาสดา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา

เราศึกษาธรรมวินัยเห็นไหม ให้มันคิดอยู่ในธรรม มันตรึกอยู่ในธรรม ถ้าตรึกในธรรมเห็นไหม ธรรมอารมณ์ ถ้าจิตใจนี้มันตรึกอยู่ในธรรม มันพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวมันขึ้นมา มันตรึกในธรรมใช่ไหม มันตรึกในธรรมจริงหรือเปล่า เป็นอย่างนั้นจริงหรือ นรกสวรรค์มีจริงหรือ มรรคผลมีจริงหรือ

ตรึกในธรรมมันก็ยังต่อต้าน เพราะอะไร เพราะความคิดมันไม่ใช่ความจริง พอความคิดไม่เป็นความจริงเพราะเราไม่ได้ฝึกฝนขึ้นมา เรายังไม่มีมรรคผลในใจของเราขึ้นมา ถ้าเรามีมรรคมีผลในหัวใจขึ้นมาสิ มันแยกแยะแล้ว มันแยกแยะเองว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก

ถ้าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกมันจะเห็นผิดเห็นถูกของมัน ถ้าเห็นถูกของมันเห็นไหม เห็นผิดมันก็ลากให้เราไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นถูก! เห็นถูกมันก็เห็นโดยมรรค โดยศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เริ่มแยกแยะให้เห็นตามข้อเท็จจริง เห็นตามข้อเท็จจริงนะ! เวลามรรคสามัคคี ความสามัคคีของมัน มรรคมันรวมตัวของมัน ถ้ารวมตัวก็ทำลาย ความสามัคคีในอำนาจของมรรคไง

อำนาจของมรรคญาณเห็นไหม มรรคญาณมันทำลายกิเลส เวลามันตทังคปหาน มันทำแล้วมันรวมลงเห็นไหม โดยอำนาจของมรรค โดยอำนาจของศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่อำนาจของใคร อำนาจของใครจะข่มขี่ความคิดเราได้ เทวดา อินทร์ พรหม หน้าไหนมันจะมาให้เราคิดตามมัน ถ้าเราไม่เชื่อซะอย่างหนึ่ง เรายึดมั่นความเห็นของเราซะเราอย่างหนึ่ง เราจะเชื่อใคร

เราไม่เชื่อใครหรอก เราเชื่อความรู้ความเห็นของเรา ถ้าเชื่อความรู้ความเห็นของเรา ความรู้ความเห็นของเรามันคืออะไร? มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ไง มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ความคิดของมนุษย์ ความคิดเห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม มันมีของมันอยู่แล้ว แล้วความคิดมันมีอวิชชา มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ แล้วเราจะควบคุมมันได้อย่างไร เวลามันคิดออกไปมันก็คิดโดยอำนาจของมัน

ถ้าอำนาจของมัน มันคิดออกไปแล้วเรารู้ตัวไหม เราไม่รู้ตัวสิ่งใดเลย เพราะเราไม่มีสติ! เราไม่เคยฝึกหัดของเรา ถ้าเราไม่เคยฝึกหัดของเรา ความรู้ความเห็นอย่างนี้มันเป็นอำนาจของอะไรล่ะ? อำนาจของกิเลสใช้ธรรมะ อ้างธรรมะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมะทั้งนั้นนะ แต่กิเลสมันอาศัยธรรมะเป็นเครื่องดำเนินเป็นเครื่องแสดงออก พอแสดงออกมันแสดงออกโดยอะไร โดยกิเลสไง นี่ไงกิเลสมันบังเงา บังเงาโดยธรรมไง

แต่ถ้ามีสติปัญญาล่ะ มีสติปัญญามันแยกแยะขึ้นมาเห็นไหม เวลาอำนาจของมรรคมันรวมลง มันทำลายของมันขึ้นไป มันปล่อยวางของมันนะ เรารู้เราเห็น จิตนี้รู้ จิตนี้เห็น จิตนี้มีการกระทำ นี่สันทิฏฐิโก นี่ธรรมของส่วนบุคคล ธรรมของใจดวงนั้น จะใจดวงใดก็แล้วแต่ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ของเรา เช่น ฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เวลาฟังเทศน์จะเทศน์เรื่องอะไร จะฟังเรื่องอะไร แล้วเวลาเป็นเทวดา ทำไมถึงเป็นเทวดา เทวดาก็ทำบุญกุศลของเขาขึ้นมา เขาก็ไปเกิดเป็นเทวดา

เวลาเทวดามามารยาทสังคมของเขา โดยธรรมชาติของเขาเทวดาเขาจะไม่พูดสอดพูดเสียดกันนะ เวลาเทวดามาเขาอยากฟังธรรมอะไร เขาจะบอกผ่านหัวหน้า หัวหน้าเขาจะเป็นคนสนทนากับครูบาอาจารย์เองว่า วันนี้เทวดามาด้วยกัน เขาต้องการฟังเทศน์สิ่งใด เขาจะบอกผ่านหัวหน้า เขาจะมีมารยาทของเขา เขาจะไม่แทรกไม่แซงของเขา เขาไม่ชิงดีชิงเด่นของเขา เพราะอะไร เพราะมันอำนาจโดยธรรมของเขา เขาจะเคารพหัวหน้าของเขา หัวหน้าของเขาเป็นผู้ปกครองเขา หัวหน้าเขาจะสื่อสารกับครูบาอาจารย์ของเรา

นี่ไงดูเทวดาเขายังมีมารยาทของเขา เวลาเขาฟังธรรมของเขา เขาฟังเพื่ออะไรล่ะ เขาฟังเพื่อเตือนสติเขา เพราะเขาสร้างคุณงามความดีมาเขาถึงเกิดไปเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม การเกิดไปเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาเกิดของเขานะ มันก็เสวยภพชาติของเรานี่แหละ นี่เป็นผลของวัฏฏะ จิตนี้เกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นนรกอเวจีเห็นไหม จิตมันเวียนตายเวียนเกิด เพราะด้วยอำนาจบุญอำนาจกรรมจากการทำดีทำชั่ว

ถ้ามีสติปัญญามันก็ทำคุณงามความดีของมัน เพื่อส่งเสริมจิตดวงนี้ให้มีพันธุกรรมทางจิตให้มันมีกรรม มีสิ่งที่ดีไปเกิดในทางที่ดี แต่ถ้ามันมีกรรมชั่วของมัน มันไปเกิดนรกอเวจีตามแต่อำนาจของมัน ถ้ามันเป็นอำนาจของมันใครเป็นคนทำล่ะ? จิตนี้เป็นคนทำ จิตนี้มันทำของมันมาเอง มันก็ให้ผลกับตัวมันเองเห็นไหม

แต่นี่เราพลิกกลับ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราตั้งใจทำคุณงามความดีของเราเห็นไหม เพราะความตั้งใจทำคุณงามความดีของเรา ความดีของเราได้แค่นี้ เรามีสติปัญญาแค่นี้ เราก็ทำบุญกุศลของเราแค่นี้ มันก็ได้ไปเกิดในผลวัฏฏะ ผลของวัฏฏะก็ บุญกรรมมันพาเกิด บุญกรรมเป็นสิ่งที่พามันเกิด เพราะมันทำคุณงามความดีของมันมา

ทำคุณงามความดีเพราะอะไร เพราะเรามีธรรมะ มีธรรมและวินัยเป็นศาสดา ใช่ไหม ถึงจะเป็นคฤหัสถ์ เป็นพระ เป็นต่างๆ เราก็เชื่อในธรรม เชื่อในความจริง เชื่อในธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีของมัน ทำชั่วก็ได้ชั่วของมัน เราก็ฝืนเพราะกิเลสมันไม่อยากทำ กิเลสมันพยายามทำลายมันนะ กิเลสมันคืออะไร? กิเลสมันคือความเคยใจ แค่คิด! แค่คิด! นี่แหละ

ความคิด! กิเลสมันอาศัยตรงนี้เป็นเครื่องแสดงออก มันแสดงออกที่ไหนล่ะ แสดงออกในหัวใจนี่แหละ มโนกรรมมันเกิด การกระทำของมันเห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้ามันทำของมัน ถ้าเราศึกษาธรรมมันยับยั้งความรู้สึกความนึกคิดอันนี้ให้อยู่ในอำนาจของเรา ถ้าอยู่ในอำนาจของเรา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ถ้ากองสังขารมันรอบรู้หมด มันรอบรู้ด้วยความคิดทั้งหมด ความคิดมันเกิดจากใจได้อย่างไร ความคิดมันเกิดจากใจไม่ได้ เพราะว่ามันมีปัญญาครอบคลุมมันอยู่ ถึงว่าปัญญาอบรมสมาธินี่ไง ถ้าปัญญาอบรมสมาธิเราใช้ของเรา เราพิจารณาของเพื่อประโยชน์กับเรานะ

คำว่า “แค่คิด” นี่นะ นักปฏิบัติเรา ไอ้ความคิดนี่มันให้โทษ แต่เวลาทางโลกเขานะ ทำดีทำชั่วเขาดูที่การกระทำ ดูที่จริตนิสัย ดูการแสดงออก การแสดงออกมันเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าโลกเขาทางจิตวิทยาเขาดูได้ เขาดูพันธุกรรม ดูจิตวิทยา ดูการกระทำของคน คนนิสัยอย่างไร ได้รับการอบรมบ่มเพาะมาอย่างไร เขาศึกษาของเขาได้ นี่ทางจิตวิทยา

แต่ทางธรรมล่ะ ทางธรรมเพราะอะไร เพราะมันต้องแก้ไขด้วยจิตนะ เพราะจิตเราเกิดมา ปฏิสนธิจิตมันเกิดมาเป็นมนุษย์ใช่ไหม มนุษย์มีทุกข์มียากของเรา เราก็แก้ไขของเรา เราจะแก้ไขของเรา เห็นไหม ถ้าเราไม่แก้ไขมันจะสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร มันจะสะอาดบริสุทธิ์เพราะความแก้ไขของเรา เรามีอำนาจวาสนาเราแก้ไขของเรา เพราะเรามีความเชื่อของเรา เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เราถึงมาเป็นนักบวชของเรา

เราเป็นนักบวช เราเป็นนักรบนะ รบกับใคร? รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ถ้าเราไม่รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา จะไปรบกันที่ไหน นั่นมันเรื่องสมบัติของคนอื่นนะ เราเที่ยวไปชมสมบัติของคนอื่น คนอื่นเขามีทรัพย์สมบัติของเขามากน้อยแค่ไหน นั่นมันเรื่องของเขา เพราะเขาทำดีทำชั่วของเขามา

แต่เราจะทำคุณงามความดี ดีและชั่วของเรา เราจะทำของเราขึ้นมา ถ้าทำขึ้นมาเห็นไหม คำว่า “แค่คิด” แต่ถ้าคิดในเรื่องดีๆ คิดไม่ดีเห็นไหม ดูสิ เทวทัตคิดจะปกครองสงฆ์ เขามีฌานโลกีย์ เขาเหาะเหินเดินฟ้านะ เสื่อมหมดเลย! เสื่อมไม่เหลือเลย แค่คิด!ความลับไม่มีในโลก ความคิดของจิตดวงนั้นจิตดวงนั้นก็รับรู้ แล้วกรรมมันก็ให้ผลกับจิตดวงนั้น

แต่เราแค่คิด แต่คิดให้เป็นธรรมมันไม่เห็นเกิดสักที คิดไม่เป็นธรรมเราก็ต้องแก้ไข เราต้องเพิ่มของเรา เราต้องมีความมานะบากบั่น ถ้ามีความมานะบากบั่น ดูสิ ดูเวลาคลื่นสึนามิเห็นไหม มันพัดไปหมดเลย ทุกอย่างมันกวาดไปหมดเลย วัตถุสิ่งใดที่ใหญ่โตขนาดไหน มันมีกำลังของมัน ยกไปได้หมดเลย

เวลามันคิดถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันทำลายหัวใจหมดเลย มันยกไปหมดเลย สติปัญญาเราไม่ทันเห็นไหม พอเราจะคิดขึ้นมาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะทำลายเราก่อน เพราะเราจะทำมันถอนแล้ว ถอนจิตของเรา ถอนคุณงามความดีของเราหมด ทำตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้ามันมีจุดยืน มีสติขึ้นมานะ มันถอนไม่ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นมาเห็นไหม มีสติยับยั้งมัน หลวงตาท่านบอกว่า “ถ้ามีสติอยู่นะ คลื่นมันจะสูงขนาดไหน มันจะชนแรงสติที่กั้นไว้ไม่ได้ สติของเรามันจะกั้นไว้ได้” สติมันยับยั้งได้ ถ้ามันฝึกบ่อยๆ เห็นไหม

ดูสิ เวลาความร้อน เราจับความร้อนมันจะทนได้มากน้อยแค่ไหน ความร้อนถ้าร้อนมากจับแล้วมันสะดุ้งเลย ถ้าความร้อนมันร้อนพอลูบพอคลำกันได้ เวลาเราคิดขึ้นมา ความคิดมันให้ผล มันรุ่มร้อนแค่ไหนถ้ามันมีสติมันรู้ของมัน ถ้ามันรู้ของมัน มันปล่อยวางของมัน มันรู้ว่ามันร้อนไง สติมันรู้ทันมัน มันไม่จับให้เกิดขึ้นมา พอจิตมันไม่คิด จิตมันไม่เสวย ความคิดมันจะเกิดไม่ได้ สติปัญญามันยับยั้งได้หมดเลย มันยับยั้งสิ่งที่จะเผาลนเราเห็นไหม

ถ้าแค่คิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คิดโดยไม่มีสติปัญญา คิดโดยไม่รู้ทันของมัน คิดโดยสัญชาตญาณ แต่ถ้ามันมีสติปัญญาเห็นไหม ถ้าพยายามให้มันคิด แค่คิดโดยธรรมชาติของมัน

แต่คิดในธรรมเราต้องปลุกเร้ามันให้มันคิด ให้มันมีปัญญาขึ้นมา มีปัญญาขึ้นมามันก็ฝึกฝนตัวเองขึ้นมาใช่ไหม ตัวเองได้ฝึกฝนได้มีการกระทำขึ้นมา ตัวเองจะเป็นคนดีขึ้นมา เพราะอะไร เพราะพยายามบังคับให้จิตเราทำคุณงามความดี บังคับให้จิตเราอยู่ในธรรมวินัย มันจะอยู่ในธรรมในวินัยนั้น

ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา เราเป็นสัตว์มีเจ้าของ เราเป็นสัตว์ที่มีครูบาอาจารย์เป็นผู้ดูแลเรา ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดูแลเรา เราจะรักษาใจของเราเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม ไม่ใช่ประโยชน์กับใครทั้งสิ้น

ทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพื่อเรา ไม่ได้ทำความดีเพื่อคนอื่น ไม่ได้ทำความดีเพื่อใครเลย!

แต่สังคมของคนดี สังคมนั้นจะดีไปโดยธรรมชาติ สังคมของคนดีมันเป็นสังคมที่จิตใจเป็นสาธารณะ เห็นคุณงามความดีของคนอื่น คุณงามความดีของเราก็เห็น คุณงามความดีของคนอื่นก็เห็น คุณงามความดีเพื่อคุณงามความดีเห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นกิเลสเห็นไหม คุณงามความดีของเรา คุณงามความดีจะขี่หัวคนอื่น มนุษย์มันต้องการนั่งบนหัวของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่นั่งบนหัวมนุษย์ มนุษย์ก็คือมนุษย์ มนุษย์มีศักดิ์ศรีเท่ากัน

แต่ถ้ามนุษย์มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มนุษย์จะนั่งบนหัวของมนุษย์นะ มันจะนั่งบนหัวคนอื่น เหยียบย่ำศักยภาพของคนอื่นไปหมดเลย ว่าคนอื่นอยู่ใต้ฝ่าเท้ากิเลสของเราไง แต่มันเป็นจริงไหมล่ะ

...ใต้ฝ่าเท้ากิเลสก็เป็นความรู้สึกนึกคิด เพราะกิเลสมันเป็นตัณหาอยู่ในหัวใจ แล้วมันเป็นจริงไหม! มันเหยียบหัวใจของผู้คิดนั้นก่อน! แค่คิดมันก็เหยียบหัวใจดวงนั้นแล้ว เหยียบหัวใจดวงนั้นว่า ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษในหัวใจนี้เลย!

ถ้ามีความเป็นสุภาพบุรุษในหัวใจ ความดีคือความดี จิตคือจิต มีค่าเท่ากัน สิ่งนี้มีค่าเท่ากันนะ มันจะทำลายหัวใจคนอื่นได้อย่างไร ถ้ามันจะทำลายหัวใจคนอื่นเท่ากับทำลายหัวใจของตัวเอง ถ้าหัวใจของตนเองโดนเหยียบย่ำทำลายไปแล้ว ก็มันเหยียบย่ำทำลายหัวใจของคนอื่นเหมือนกันไง ถ้ามันจะคิดเหยียบย่ำทำลายหัวใจของคนอื่น มันก็เท่ากับเหยียบย่ำหัวใจของตัวไง เพราะหัวใจของตัวมันทำชั่วก่อน มันทำความชั่วก่อน ความชั่วที่เกิดขึ้นในหัวใจของตัวแล้ว มันก็ทำลายหัวใจคนอื่นทั่วๆ ไป แต่ถ้ามันจะทำลายหัวใจของคนอื่น มันก็เท่ากับทำลายหัวใจของตัวเห็นไหม

ดูสิ เวลากรรมเห็นไหม เราทำกรรมกับคนอื่น แต่คนอื่นเขาได้รับกรรมอย่างไร เขาก็ได้รับความเดือดร้อนจากที่เราทำ แต่หัวใจของเราที่ได้ทำไปแล้วมันจะตกนรกอเวจี มันจะหมกไหม้ของมันนะ มันจะเท่ากับทำลายใครล่ะ มันก็เท่ากับทำลายหัวใจของตนเองไง ถ้าหัวใจตัวเองได้สร้างกรรมนั้นไว้แล้ว กรรมนั้นมันจะไปไหน มันก็เท่ากับเป็นวิบากกรรมของใจดวงนั้น

แต่ใจดวงนั้นจะเกิดกรรมขึ้นมาไม่ได้ ถ้าใจดวงนั้นมีการกระทำออกไป ถ้าการกระทำแล้วทำกับใครล่ะ ก็กระทำกับหัวใจดวงอื่น หัวใจดวงอื่นเขาได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำนั้น แต่หัวใจของตัวล่ะ หัวใจของตัวที่ทำเขาไป ก็มีการกระทำกับหัวใจดวงอื่นมันถึงเกิดกรรมไง ถ้าไม่ทำมันจะเกิดกรรมไหม นี่ไงมันถึงบอกว่า เวลาคิดว่าทำลายหัวใจดวงอื่นแล้วตัวเองจะได้ความสะใจ แต่ความจริงก็คือทำลายหัวใจตัวเองไง

ถ้าจิตใจไม่เป็นสาธารณะ จิตใจไม่เป็นธรรม จิตใจไม่เป็นสุภาพบุรุษ มันก็มองไม่เห็น ถ้าจิตใจของมันเป็นสุภาพบุรุษมันก็มองเห็น เราจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันทำลายหัวใจเราก่อน ทำลายฐานก่อน เห็นไหม เวลาทำความสงบของใจด้วยกรรมฐานในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการงานจะไปทำที่ไหน ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหม มันถึงมีสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเกิดจากใจดวงนี้

แต่เวลาเป็นกิเลสล่ะ เวลากิเลส กิเลสมันก็เกิดจากใจดวงนี้ก่อน ทำลายฐานของตัวเองก่อน ทำลายฐานด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำลายฐานด้วยกรรมแล้วก็ทำลายหัวใจดวงอื่น พอทำลายหัวใจดวงอื่นมันก็มีฐานที่เกิดของกิเลส เกิดจากฐาน เกิดจากที่การกระทำ ผลก็เกิดจากกรรมฐานนั่นไง แต่เป็นกรรมฐานด้วยกรรม กรรมฐานด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่ถ้าทำความสงบของใจล่ะ ถ้าใจมันสงบขึ้นไปแล้วมันเป็นสมถกรรมฐาน เวลามันใช้ปัญญาออกไป ปัญญาไปเห็นอะไร เห็นในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าเห็นในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันก็เป็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม นี่อริยสัจ ๔ ด้วยมรรค ๘ มันก็เป็นมรรคญาณ มันก็เป็นสัจธรรม มันก็เป็นอริยสัจ มันเป็นปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่จะแก้กิเลสไง

นี่ไง เวลาเราคิดเราทำของเราขึ้นไปมันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่ถ้าไม่มีธรรมขึ้นมา มันก็ทำโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้ามันมีธรรมล่ะเห็นไหม มันก็เป็นกิริยาของใจทั้งนั้นเลย กิริยาของใจที่ใจมันมีอยู่

แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันจะย้อนกลับเข้ามาได้ นี่ทวนกระแสไง มนุษย์เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติมา ๖ ปี สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนสิ้นกิเลส เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ครูบาอาจารย์ของเราเชื่อในธรรม มีความมุมานะบุกบั่น ท่านก็ทำหัวใจของท่านสำเร็จเป็นครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมาได้เหมือนกัน

หัวใจของเรามันทุกข์มันยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมืดบอด มันเหยียบย่ำใจของตัว แล้วก็ใช้เล่ห์กลในใจของตัว แล้วก็ทำเพื่อประโยชน์กับใจของตัว มันก็เป็นประโยชน์กับกิเลสทั้งนั้นเลย มันไม่เป็นประโยชน์โดยธรรมเลย ถ้าเป็นประโยชน์โดยธรรมเห็นไหม เสียสละให้ผู้อื่นก่อน จิตใจเป็นธรรม จิตใจเป็นสาธารณะ

ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะมันจะมีอะไรใหญ่กว่าใครล่ะ มันยิ่งมีคุณธรรมขึ้นมา คุณธรรมเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ใครๆ ก็ปรารถนาเห็นไหม ดูสิ ความดำริ ความเห็นของคน ความเห็นของสังคมนั้น ถ้าสังคมนั้นมีความดำริ มีความเห็นเสมอกัน มันไปเกี่ยวกับใครล่ะ มันเป็นประโยชน์กับหัวใจเราก่อนเห็นไหม เพราะอะไร ดูสิ เวลาผลข้างเคียง เราอยู่ที่ใดก็แล้วแต่ มันต้องมีบ้านข้างเคียง ที่ดินของเรามันต้องมีที่ดินข้างเคียง ถ้าไม่มีที่ดินข้างเคียงที่ดินของเราจะตั้งอยู่ไม่ได้

มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมมันจะอยู่คนเดียวได้ไหม ถ้ามันอยู่คนเดียวได้เราก็ธุดงค์วิเวกอยู่คนเดียว เราก็อยู่ของเราสิ มนุษย์ก็อยู่คนเดียวไม่ได้อีก มันก็อยู่กับสังคม พออยู่กับสังคมก็จะเหยียบย่ำสังคมอีก

มันเป็นอย่างไร มันเป็นเพราะเราดูแลใจเราไม่ได้ เราดูแลใจไม่เป็น ถ้าดูแลใจเป็นเห็นไหม อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าจิตเวลาสงบขึ้นมานะ มันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง แต่จิตเราไม่เป็นหนึ่ง จิตเรามีแต่ความฟุ้งซ่าน จิตเรามีความคิดโดยสัญชาตญาณ มีความคิดรอบไปหมดเลย ความคิดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในหัวใจ แล้วก็บอกว่า ผลนี้ทุนนิยมต้องมีการแข่งขัน

ถ้าการแข่งขัน แข่งขันเข้าโรงพยาบาลบ้าไง แข่งขันให้มันมีความเครียดไง แข่งขันขึ้นมาแล้วประสบความสำเร็จของใคร มันเป็นการประสบความสำเร็จ เป็นผลของสาธารณะเห็นไหม ในเมื่อมีกฎกติกา มีการแข่งขันขึ้นมาแล้ว ผู้ที่เข้าแข่งขันต้องเข้าไปในกติกานั้น นี่ไงแล้วกติกานั้นใครเป็นคนเขียนล่ะ กติกานั้นสังคมไหนเป็นคนบัญญัติกติกานั้นขึ้นมาล่ะ ก็ผู้ที่ชนะใช่ไหม แล้วผู้แพ้กว่าจะเข้าถึงกติกานั้นได้ นี่พูดถึงว่าในการแข่งขันในทางโลกเขา

ในทางธรรมไม่ใช่อย่างนั้น แข่งขันกันโดยการทำความสงบของใจ แข่งขันการเสียสละ แข่งขันกันด้วยการให้อภัย แข่งขันกันด้วยเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เวรของเขา เวรกรรมใครกูไม่เอาโว้ย! แข่งขันกันไปเอาบาป เอากรรม เอานรกอเวจีหรือ

แข่งขันเอาคุณงามความดีต่างหาก แข่งขันกันเสียสละ แข่งขันกันด้วยบุญกุศล บุญกุศลคืออะไร บุญคือความสุขใจ ถ้าเราสุขใจ ใจเรามั่นคง ใจเราสุขใจแล้วมันจะแข่งขันเอากับใคร ไม่ต้องการสิ่งใดเลย นั่งอยู่เฉยๆ มีความสงบ มีความสุข ใครจะเอาอะไรมาให้มันเป็นภาระ

แต่ในเมื่อเป็นหัวหน้าใช่ไหม พอเป็นหัวหน้าแล้วมันมีสังคม สังคมนั้นก็ต้องขับเคลื่อนกันไปใช่ไหม ก็เอาสิ่งนั้นมาเพื่อบำรุงสังคมนั้น เอาสิ่งนั้นมาขับเคลื่อนมาเป็นภาระ มาเป็นวาระที่สังคมที่สังฆะ หมู่สงฆ์มันจะขับเคลื่อนกันไป ก็เท่านั้น!!

แต่เวลาเราเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากล่ะเห็นไหม เราจะไปแข่งขัน แข่งขันเพื่ออะไร แต่ถ้ามันเป็นธรรมเห็นไหม มันไม่แข่งขัน มันมีสัจธรรมของมัน มันมีความสงบ มีความระงับของใจ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

น้ำมันนิ่งอยู่แล้วไปทำให้มันเกิดคลื่น ให้มันเกิดการกระฉอกขึ้นมาทำไม จิตที่มันมีความสงบในใจมันแล้ว มันทำไมจะต้องไปเห่อเหิมขึ้นมาให้มันเกิดความกระฉอกขึ้นมาในหัวใจทำไม ถ้ามันเป็นจริง!

...มันไม่เป็นจริงต่างหาก มีแต่การสร้างภาพ ถ้ามันไม่มีการสร้างภาพขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ การสร้างภาพ ภาพกับความคิดคนละอันกัน ความคิด คิดเกือบตายกว่าจะสร้างภาพได้ภาพหนึ่ง มีแต่ความเร่าร้อน มีแต่การเผาผลาญหัวใจของตัวเอง

แต่ความส่งเสริมหัวใจของตัวเองล่ะ ไม่ได้เป็นการสร้างภาพ ทำให้มันสงบขึ้นมา ถ้ามันสงบขึ้นมานะมันจะเห็นโทษไปหมดเลย เพราะอะไร เห็นโทษเพราะกว่ามันจะสงบได้ เราต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน

การลงทุนลงแรงของเราเพื่อให้จิตสงบ แล้วเวลามันสงบขึ้นมา มันมีคุณค่าแค่ไหน แล้วคุณค่าที่มันมีความสงบขึ้นมามันมีความร่มเย็นเป็นสุข โลกเขาต้องการกัน แล้วโลกเขาแสวงหากัน เราจะเอาตีนไปราน้ำทำไม เราเอาตีนไปราน้ำเราทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุขไม่ได้ใช่ไหม เพราะความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรากว่าจะได้มา

แม้แต่คำบริกรรม เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิขนาดไหน มันยังลงไม่ได้ ลงไม่ได้มันต้องเสริมด้วยอะไร เสริมด้วยการอดนอนผ่อนอาหาร เสริมด้วยความวิริยะอุตสาหะ เราต้องเสริมทุกอย่างเลย เพื่อให้จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ จิตที่มันสงบง่าย แล้วคนอื่นเขาต้องการปรารถนาเหมือนเราทั้งนั้นนะ

ถ้าเรายิ่งทำได้ เรายิ่งรู้แล้ว เราจะเข้าใจเลยว่าเราต้องการสิ่งใด เราทำเพื่อความสงบของใจ ใจกว่าจะสงบนี่มันลงทุนลงแรงขนาดไหน แล้วเขาทำอยู่เราจะไปบั่นทอนเขาทำไม! เราจะไปบั่นทอนใคร ก็ความทุกข์ความยากเรายังขนาดนี้ แล้วเราบั่นทอนจิตดวงอื่นให้เป็นไปได้ยาก

๑. บั่นทอนเขาเพื่ออะไร

๒. บั่นทอนแล้วเวรกรรมมันยิ่งมหาศาล

คนเรานะ ตั้งใจทำคุณงามความดีแล้วเราไปบั่นทอนเขา เวรกรรมมหาศาลนะ ดูสิ ดูสมัยพุทธกาลเห็นไหม นางอะไรที่โดนเผา นี่อดีตชาติเป็นพระโสดาบันนะ แต่สุดท้ายแล้วมเหสีด้วยกันอิจฉาตาร้อน จุดไฟเผาทั้งหมดเลย แล้วพอจุดไฟเผาขึ้นมาก็อยู่กลางไฟเห็นไหม

พระคุยกัน ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เป็นพระโสดาบัน ทำไมเขาถึงโดนเผาตายเลย”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ในอดีตชาติเขาเคยเป็นสนมเหมือนกัน แล้วไปอาบน้ำในแม่น้ำ สุดท้ายแล้วพอขึ้นมามันหนาว ก็ได้จุดไฟผิง จุดไฟก็กองฟางไง เห็นกองฟางแล้วก็จุดไฟผิง พอเผาไปๆ เห็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้านั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่” กรรมอันนั้นก็อันหนึ่งนะ

แต่ด้วยความกลัวว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของกษัตริย์ คิดว่าความผิดจะถึงเรา ก็ช่วยกันไปหาเศษไม้เศษฟืนมาช่วยกันเผาจะทำลายหลักฐาน สุดท้ายกรรมอันนั้นตกนรกอเวจีมหาศาลเลย เวียนตายเวียนเกิดมามากมาย จนสุดท้ายมาประพฤติปฏิบัติมาถึงเป็นพระโสดาบัน ยังโดนเผาตายเลย

นี่พูดถึงกรรม กรรมที่เวลาสร้างขึ้นมา เราเห็นผลของมันว่า การทำบาปอกุศลแล้วมันมีวิบากกรรมตามมาเราจะไปทำทำไม เราสร้างแต่คุณงามความดีของเรา ทำตามความเห็นของเรา เรื่องสิ่งที่โลกเขาเป็นนั่นเรื่องของโลกเขา เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของสัตว์โลกมันมีอยู่ทุกๆ ดวงใจ ในเมื่อมีอยู่ทุกๆ ดวงใจมันก็แสดงออกโดยธรรมชาติของมัน เราก็เห็นเห็นไหม คนนี้จิตมันหยาบมันก็แสดงออกมาหยาบๆ จิตปานกลางก็แสดงออกมาปานกลาง จิตละเอียดก็แสดงออกมาละเอียด โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา

จิตใจของคนที่เคยภาวนาแล้ว เห็นแล้วน่าสงสาร เขาแสดงออกโดยเขาไม่รู้ตัวนะ เหมือนเด็กไร้เดียงสามันแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยเตือนคอยบอก เราจะป้องกันมันอย่างไร เราต้องป้องกัน ต้องแก้ไข ถ้าไม่ป้องกันไม่แก้ไขมันก็เกิดซ้ำเกิดซากอยู่นั่นนะ

ความเกิดซ้ำเกิดซาก หมั่นคิดหมั่นทำเห็นไหม คิดแล้วทำเล่าจนเป็นจริตเป็นนิสัย มันก็ซ้ำรอยไปอยู่อย่างนั้นนะ แล้วถ้าฝืน นี่ไงการปฏิบัติธรรมที่มันทุกข์ มันทุกข์ตรงนี้ไง มันทุกข์เวลาทวนกระแส ทวนความรู้สึกความนึกคิดของตัว ความรู้สึกนึกคิดที่มันเคยกระทำอยู่เราจะทวนกระแสมันเข้าไป ตั้งสติเข้าไป ย้อนมันกลับเข้าไป แล้วมันย้อนได้ไหม

ถ้ามันย้อนได้นะ มันย้อนไม่ไหว คนอื่นเวลาเขามอง ดูสิ เราดูนักกีฬามันเล่นกันเห็นไหม เรารู้ไปหมดเลยนักกีฬามันผิดอย่างไร ไปบอกเขา อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติเราก็เป็นนักกีฬาคนหนึ่ง เราก็พยายามจะเล่นกีฬาให้มันชนะทั้งนั้นนะ แต่มันทำไปด้วยความรู้สึกความเห็นของตัว มันก็ล้มลุกคลุกคลานเห็นไหม

ครูบาอาจารย์ต้องคอยชี้คอยบอก ท่านก็เห็นความบกพร่องของเราทั้งนั้นนะ ถ้าเห็นความบกพร่องเวลาใครบอกขึ้นมาก็โกรธอีกนะ โอ้โฮ ทำความดีขนาดนี้ก็ยังมาติมาเตียนกันอยู่ โหย.. มันสุดยอดๆๆ ..สุดยอดทำไมมันไม่เคยชนะสักที แพ้มาตลอด ถ้ามันสุดยอดมันก็ต้องแก้ไขได้สิ นี่ไงมันเป็นทิฐิมานะความเห็นของตัวไง

เพราะฉะนั้นนี่คือความคิดนะ แค่คิดมันก็ผิดแล้ว…ถ้ามันแค่คิด เพราะแค่คิดมันก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ แต่เวลาปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมันก็ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดที่มีสติมีปัญญาเป็นการเทียบเคียงเอาว่าควรและไม่ควร ถูกหรือไม่ถูก ถ้ามันถูกต้องดีงามมันก็เป็นประโยชน์กับเรา

ถ้ามันถูกต้องดีงามนะ มันสงบแน่นอน ความคิดถ้ามันคิดขนาดไหน มันมีสติปัญญาสิ่งนี้ต้องสงบลงได้ โดยข้อเท็จจริงเวลาไฟมันลุกไหม้มาเห็นไหม ถ้าน้ำจำนวนมันเพียงพอ สาดไปต้องดับเด็ดขาด!

นี่ก็เหมือนกัน ฟุ้งซ่านขนาดไหนก็แล้วแต่ มันจะดื้อดึงขนาดไหน มันจะแผลงฤทธิ์ขนาดไหน ในใจเราถ้ามีสติปัญญาเข้าไปมันต้องดับแน่นอน! มันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าความคิดเกิดแล้วไม่ดับ! แต่ความคิดมันเกิดแล้วดับเพราะอะไร เพราะตัณหามันสอดเข้าไปไง เขาบอกเอาน้ำไปดับไฟ แต่มันสาดน้ำมันเข้าไป นี่ก็ดับไฟ..ดับไฟ..สาดแต่น้ำมันเข้าไปมันจะดับได้อย่างไร มันเป็นไปไม่หรอก มันจะดับได้ต่อเมื่อเป็นน้ำ ไม่ใช่น้ำมัน

น้ำมันคือความเห็นของตัว น้ำมันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก น้ำมันคือทิฐิมานะการเข้าข้างตัวเอง นั่นคือน้ำมัน ยิ่งสาดยิ่งโชติช่วง ยิ่งดับยิ่งรุนแรง

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ดับเด็ดขาด! เป็นธรรมเห็นไหม เราคิดถูกจริงหรือ แค่คิดมันถูกจริงหรือ ถ้าจริงทำไมผลมันออกมาเป็นอย่างนี้ล่ะ ถ้าจริงผลออกมามันต้องสงบ มีความสงบระงับสิ ถ้าจริง!

ถ้าไม่จริงเห็นไหม มันขัดแย้งกันไปหมดเลย โน่นก็ผิด นี่ก็ผิด ผลของมันคือไฟ แต่ถ้ามันจริงมันต้องสงบสิ นี่ถ้าจริง แล้วถ้าไม่จริงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมาเห็นไหม ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา แสดงว่าธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี้ผิดหมดสิ พระพุทธเจ้าบอกไว้นี่ผิดหมดสิ

..ถ้ามันผิดหมด ทำไม ๒,๐๐๐ กว่าปี ทำไมมีคนเคารพบูชาขนาดนี้ ทำไมครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติถึงรอดเป็นรอดตายจนมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราได้ นี่ไงมันต้องพิสูจน์กัน ของอย่างนี้ไม่ต้องเชื่อใครหรอก หัวใจเรานั่นแหละมันบอก ความลับไม่มีในโลก ใจดวงนั้นชัดๆ ใจดวงนั้นรับรู้อยู่ แต่ใจดวงนั้นด้วยความหยาบ ด้วยตัณหาความทะยานอยากมันปิดตาไง นี่แค่คิดนะ แค่คิดก็ทำให้เราร้อนขนาดนี้แล้ว

ฉะนั้นถ้าธรรมล่ะ แค่คิดมันก็คิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดแล้วให้ผลเผาลนใจตัวเอง ถ้าเป็นธรรมนะ น้ำอมตธรรม มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขนะ

ถ้าจิตสงบแล้วทำให้เราอยู่ในสถานะของพระ ก็อยู่ในสถานะของพระด้วยการเคารพตัวเอง เราไม่ผิด เราทำโดยสัจธรรม โลกเขามองเราไม่เข้าใจเราหรอก โลกเขามองเห็นไหม เขาก็มองโดยแว่นตา ด้วยความคิดของโลกเขาว่าควรเป็นอย่างนั้น

มนุษย์ในเมื่ออัตคัดขาดแคลนจะมีความสุขได้อย่างไร เขาก็คิดของเขาว่ามนุษย์จะมีความสุขได้จะต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยพอเพียงตามแต่อำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลในความเห็นแต่ละความเห็น

ฉะนั้นพระก็มาจากมนุษย์ เขาก็จะพยายามทำให้มีความสุขในความรู้สึกนึกคิดของเขา แต่เราเป็นพระ เรามีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เราต้องการความสงบสงัดของเรา เราต้องการอาหารเพื่อการดำรงชีวิตเท่านั้น เราไม่ต้องการอาหารที่มันพร่ำเพรื่อ อาหารที่มันมากดทับธาตุขันธ์ที่มันเข้มแข็งจนนั่งสมาธิก็ไม่ได้ แล้วไปกระตุ้นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วถ้าเข้าไปกระตุ้นกามราคะ กระตุ้นความเร่าร้อนในใจ มันจะมีประโยชน์อะไร

โลกเขาคิดแบบนั้น ธรรมเราคิดอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเขาจะมองไม่เข้าใจความเป็นอยู่ของเรา เขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจไม่สำคัญ สำคัญว่าเรามีจุดยืนจริงหรือเปล่า เรามีความเข้มแข็งจริงหรือเปล่า ใครจะทำผิดทำถูกมันเป็นกรรมของเขา

ถ้ามันยังไม่ใช่วาระเวลาที่เขามาถาม เขาต้องการความเป็นจริง เราไม่ต้องไปแส่ออกไปหาเรื่องข้างนอก ไม่ต้องไปแส่จะไปสั่งสอนใครทั้งสิ้น ถ้าเขาพร้อมเขามาหาเรา เราถึงจะค่อยบอกเตือนเขา

ถ้าเขาไม่เข้ามาหาเรา ไม่เข้ามาปรึกษา ไม่ต้องแส่! แส่ออกไปมีแต่ปัญหา แส่ออกไปมีแต่ไฟเข้ามาเผาลน ไม่จำเป็น! โลกเขามีการแข่งขัน เขาอยากดิบอยากดีกัน เราไม่ต้องไปแส่ เราอยู่ของเรารักษาตัวเราให้ได้

ถ้าตัวเราเป็นคนดีขึ้นมา โลกจะติเตียนทั้งสามโลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหม จะติฉินนินทา ช่างหัวมัน! ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอยู่แล้วเรื่องโลกธรรม ๘ ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำตัวของเราได้นะ สามโลกธาตุมันจะติเตียนปล่อยให้มันติเตียนไป แต่มันถูกต้องตามธรรมวินัย เอาธรรมวินัยนี้เป็นหลัก เราอยู่กับธรรมวินัย เราอยู่กับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นแค่ทฤษฎีไม่มีตัวอย่าง เราก็มีครูบาอาจารย์ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นตัวอย่างของเรา หลวงปู่มั่นท่านอยู่ป่าตลอดชีวิต ท่านไม่เคยมีความสุขสิ่งใดเลย

หลวงตาท่านพูดประจำ “ถ้าคนขี้ทุกข์ หลวงปู่มั่นทุกข์เป็นที่สุด ทุกข์อยู่ในป่า ถือธุดงควัตรมาตลอด ท่านไม่มีความสุขกับโลกเขาเลย แต่ท่านมีความสุขในหัวใจมหาศาล เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาฟังท่านเทศน์อยู่ตลอดเวลา”

ฉะนั้นโลกจะติเตียนช่างหัวมัน! สามโลกธาตุมันจะติเตียนช่างหัวมัน! เราไม่ต้องแส่ออกไปข้างนอก เรารักษาใจของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง!